โครงการ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

สถานที่ตั้ง

ตำบล หนองบัว อำเภอ พัฒนานิคม จังหวัด ลพบุรี

รายละเอียดโครงการ ถอดบทเรียน

 
 

เขื่อนป่าสักชลสิทธิื์์

ที่ตั้ง    บ้านหนองบัว ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และบ้านคำพราน ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี  

วัตถุประสงค์

         - เป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภค – บริโภค ในเขตจังหวัดลพบุรี – สระบุรี  ตลอดจน กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เป็นแหล่งน้ำสำหรับพื้นที่ชลประทานเปิดใหม่  รวมทั้งแหล่งน้ำเสริมสำหรับพื้นที่ชลประทานเดิมในทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง
          - ช่วยป้องกันอุทกภัยในเขตจังหวัดลพบุรี – สระบุรี และพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
          - เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่
          - ช่วยการคมนาคมทางน้ำในแม่น้ำป่าสักตอนล่าง  และแก้ไขปัญหาน้ำเสีย  


spillwaypasak2

 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

สภาพทั่วไป

          ลุ่มน้ำป่าสักตั้งอยู่ในเขตภาคกลางของประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ และมีพื้นที่บางส่วนตอนบนของลุ่มน้ำอยู่ในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ส่วนใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์  ลพบุรี  สระบุรี  และพระนครศรีอยุธยา  ลักษณะลุ่มน้ำวางตัวในแนวเหนือ-ใต้  พื้นที่ลุ่มน้ำทั้งสิ้น 16,292 ตารางกิโลเมตร

          บริเวณตอนบนของลุ่มน้ำมีเทือกเขาเพชรบูรณ์ล้อมรอบ พื้นที่โดยทั่ว ๆ ไป มีลักษณะเป็นเนินเขาและมีที่ราบเพียงเล็กน้อย ส่วนตอนกลางในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรีเป็นที่ราบสลับกับเนินเขา ตอนล่างของลุ่มน้ำบริเวณจุดบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นที่ราบลุ่ม ลักษณะโดยรวมทั้งลุ่มน้ำจะถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้ง 2 ด้าน และมีแม่น้ำป่าสักไหลอยู่ตรงกลางจากทิศเหนือลงทิศใต้ โดยมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ในเขตอำเภอด่านซ้าย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดเลย จากนั้นไหลผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี และสระบุรี จนมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา  


          ลำน้ำสาขาของลุ่มน้ำป่าสัก จะมีลักษณะเป็นลำน้ำสายสั้น ๆ แยกมาจากทางตะวันตกและตะวันออก ลำน้ำสาขาทางต้นน้ำ ได้แก่ 
          ห้วยน้ำพุง  มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ทางตอนใต้สุดจังหวัดเลย ไหลขนานมากับแม่น้ำป่าสักและมาบรรจบกันที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
          ห้วยขอนแก่น  มีต้นกำเนิดที่เทือกเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอหล่มสัก
          ลำกง  มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือในเขตอำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์
          ลำน้ำสาขาทางตอนล่างของลุ่มน้ำ ได้แก่
          ห้วยเกาะแก้ว  มีต้นกำเนิดอยู่ที่เทือกเขาเตี้ย ๆ บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดเพชรบูรณ์กับจังหวัดลพบุรี ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักทางตอนใต้ของอำเภอศรีเทพ
          ลำสนรี  เป็นลำน้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำป่าสัก มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดเพชรบูรณ์กับจังหวัดชัยภูมิ มีลำน้ำสาขาคือ ลำพยากลาง  ลำสนรีไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี
          ห้วยมวกเหล็ก  มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดลพบุรีกับจังหวัดนครราชสีมา ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี          

         เนื่องจากลักษณะลุ่มน้ำแห่งนี้มีความลาดชันสูง จึงทำให้ในฤดูฝน กระแสน้ำจะไหลจากด้านบนลงมาอย่างรวดเร็ว บ่าล้นตลิ่ง ท่วมและทำความเสียหายให้กับเรือกสวนไร่นา ตลอดจนบ้านเรือนและทรัพย์สินของราษฎร ปัญหาอุทกภัยในเขตลุ่มน้ำป่าสักส่งผลกระทบถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ในทางกลับกันในฤดูแล้งมักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำใช้เพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค ซึ่งแม้จะได้รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามาช่วยเสริมแต่ก็ยังไม่เพียงพอ การพัฒนาแหล่งน้ำลุ่มน้ำป่าสัก ได้เริ่มมาตั้งแต่การก่อสร้างเขื่อนพระราม 6 เมื่อปี พ.ศ.2458 แต่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในระดับหนึ่ง ในขณะที่ประเทศเวลานั้น ยังมีการพัฒนาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมไม่มากนัก แต่เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น มีการขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เป็นผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำ แม้รัฐบาลในยุคสมัยต่อมา จะได้ศึกษาวางแผนที่จะพัฒนาแหล่งน้ำด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กกระจายโดยทั่วไปในลุ่มน้ำป่าสักอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องบนลำน้ำสาขาต่าง ๆ ของลุ่มน้ำป่าสักที่มีความยาวไม่มากและมีพื้นที่เก็บน้ำน้อย โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2497 ซึ่งหากสามารถก่อสร้างได้ครบตามแผนที่กำหนดไว้ จะสามารถเก็บกักน้ำได้รวมกันกว่า 300 ล้านลูกบาศก์เมตร

          ความแห้งแล้งเพราะขาดแคลนน้ำ และการเกิดอุทกภัยที่เกิดขึ้นเกือบจะเป็นประจำทุกปี ในตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาสร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎรและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ กระทบกระเทือนฐานะความมั่นคงทางเศรษฐกิจในพื้นที่ส่วนนี้ที่ประกอบด้วยโรงงานอุตสาหกรรม  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงทราบด้วยพระเนตรพระกรรณด้วยทรงห่วงใยยิ่ง ได้พระราชทานพระราชดำริ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2532 ให้กรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ต่อจากนั้นได้มีพระราชดำรัสอีกรวม 2 ครั้ง ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2536 และวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2537 สรุปความว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำ และปัญหาอุทกภัย จะได้รับการบรรเทาให้น้อยลง เมื่อได้ก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก

          กรมชลประทานได้สนองพระราชดำริโดยว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ฯ เห็นสมควรให้สร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก ที่บ้านหนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และที่บ้านคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี และผลการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2537  และคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เปิดโครงการก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2537

          เขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสักได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2537 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2542 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 5 ปี มีกรมชลประทานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการก่อสร้าง โดยได้รับการสนับสนุนทั้งกำลังพล และเครื่องจักรเครื่องมือจากกรมทหารช่าง กองทัพบก เป็นผลทำให้การก่อสร้างเขื่อนแห่งนี้ดำเนินการได้ตามแผนและบรรลุผลเป้าหมายที่กำหนด เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2541 ซึ่งในโอกาสนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานทรงประกอบพิธี เริ่มการเก็บกักน้ำเป็นปฐมฤกษ์ และในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเขื่อนแห่งนี้ว่า " เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ " อันหมายถึง เขื่อนแม่น้ำป่าสักที่เก็บกักน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ "


          โครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  เป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ประเภทอ่างเก็บน้ำที่จะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง และบรรเทาอุทกภัย  ตลอดจนเป็นแหล่งน้ำสำหรับการประมง  และการอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดลพบุรี  สระบุรี  และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ระยะเวลาดำเนินการ   14  ปี (ปี พ.ศ.2538 – 2551) รวมระบบส่งน้ำ

ลักษณะโครงการ

          เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ  เป็นชนิดเขื่อนดินแบบ (ZONED  TYPE) ยาว 4,860 ม., สูง 36.50 ม.  ความจุเก็บกักปกติ 785 ล้าน ลบ.ม. อาคารระบายน้ำล้น  (SERVICE  SPILLWAYสามารถระบายน้ำได้สูงสุด 3,900ลบ.ม./วินาที  ท่อระบายลงลำน้ำเดิม  (RIVER  OUTLET) เป็นท่อเหล็กเหนียวหุ้มด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง3.00 ม. สามารถระบายน้ำได้สูงสุด 80.0 ลบ.ม./วินาที  อาคารท่อระบายน้ำฉุกเฉิน  (AUXILIARY SPILLWAY) เป็นท่อเหล็กเหนียวหุ้มด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลาง  3.00 ม.สามารถระบายน้ำได้สูงสุด 65.0 ลบ.ม./วินาที งานก่อสร้างส่วนประกอบอื่น ๆ ได้แก่ ก่อสร้างคันกั้นน้ำ  2  แห่ง  ได้แก่ คันกั้นน้ำโคกสลุง  ความยาว  4.120  กม. และคันกั้นน้ำท่าหลวงความยาว 1.716  กม. รวมความยาวทั้งสิ้น 5.836 กม.  งานก่อสร้างถนนรอบอ่างเก็บน้ำ ความยาว 140 กม. และปรับปรุงแม่น้ำป่าสัก  ความยาว  8.5  กม.          
          ระบบส่งน้ำและระบบระบายน้ำ
  พื้นที่ชลประทาน 
144,500 ไร่  ประกอบด้วย
          - โครงการสูบน้ำพัฒนานิคมและพัฒนานิคม-แก่งคอย : 
            : ก่อสร้างสถานีสูบน้ำ 1 แห่ง พร้อมการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 6 เครื่อง อัตราการสูบน้ำรวม 10.45  ลบ.ม./วินาที ท่อส่งน้ำชนิดรับแรงดันสูง 2 ท่อ dia. 1.80 เมตร โดยท่อที่ 1 ความยาว 6 กิโลเมตร ส่งน้ำเข้าบ่อพักน้ำ 1 ให้กับโครงการพัฒนานิคม และท่อที่ 2 ความยาว 8 กิโลเมตร ส่งน้ำเข้าบ่อพักน้ำ 2 ให้กับโครงการพัฒนานิคม-แก่งคอย
            : โครงการสูบน้ำพัฒนานิคม คลองส่งน้ำดาดคอนกรีต 34 สาย ความยาวรวม 97.600 กิโลเมตร พื้นที่ชลประทาน29,300 ไร่ และโครงการสูบน้ำพัฒนานิคม-แก่งคอย คลองส่งน้ำดาดคอนกรีต 32 สาย ความยาวรวม 93.766 กิโลเมตร พื้นที่ชลประทาน 28,500 ไร่
          -  โครงการสูบน้ำแก่งคอย –บ้านหมอ : สถานีสูบน้ำ 1 แห่ง พร้อมเครื่องสูบน้ำ 7 เครื่อง ขนาด 2.44 ลบ.ม./วินาที อัตราการสูบน้ำรวม 17.08 ลบ.ม./วินาที  คลองส่งน้ำดาดคอนกรีต 31 สายความยาว 139.880 กิโลเมตร พื้นที่ชลประทาน86,700 ไร่
          
          การจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดลพบุรี
  ก่อสร้างสถานีสูบน้ำและระบบส่งน้ำด้วยท่อส่งน้ำ ความยาวรวมประมาณ 106.75 กม.พื้นที่ชลประทาน 30,000 ไร่

ประโยชน์ของโครงการ

          1.เป็นแหล่งสำหรับอุปโภค-บริโภคของชุมชนต่างๆ ในเขตจังหวัดลพบุรี (อำเภอลำนารายณ์ และอำเภอพัฒนานิคม) และจังหวัดสระบุรี (อำเภอวังม่วง และอำเภอแก่งคอย ) และชุมชนขนาดย่อมใกล้เคียง

          2.เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร สำหรับพื้นที่ชลประทานที่จะเกิดขึ้นใหม่ ในเขตจังหวัดลพบุรี และสระบุรี 174,500 ไร่ ได้แก่ แก่งคอย – บ้านหมอ 86,700 ไร่ พัฒนานิคม 29,300 ไร่ พัฒนานิคม-แก่งคอย 28,500 ไร่ จัดหาน้ำเพื่อการเกษตร จังหวัดลพบุรี   30,000 ไร่

          3.เป็นแหล่งน้ำเสริมสำหรับพื้นที่ชลประทานเดิมในทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง  เนื้อที่ประมาณ

2,200,000 ไร่ (ลดการใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยนำน้ำจากแม่น้ำป่าสักไปใช้ในแถบจังหวัดลพบุรีและสระบุรีโดยตรง)

          4.ช่วยป้องกันอุทกภัยพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก  ในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี  และยังมีผลช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา  รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

          5.เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดลพบุรีและสระบุรี

          6.อ่างเก็บน้ำที่เกิดขึ้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่         

          7.ช่วยการคมนาคมทางน้ำในแม่น้ำป่าสักตอนล่าง  

          8.ช่วยแก้ปัญหาน้ำเสียในลุ่มแม่น้ำป่าสักตอนล่าง

          9.เป็นแหล่งน้ำเสริมเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค – บริโภค ในเขตกรุงเทพมหานครและ

ปริมณฑล

          10.เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญ

ผลการดำเนินงาน

          วันที่  2  ธันวาคม พ.ศ.2537 กรมชลประทานได้เริ่มงานก่อสร้างโครงการ  โดยก่อสร้างเขื่อนหัวงาน และ อาคารประกอบแล้วเสร็จ และ เริ่มเก็บน้ำกักน้ำเมื่อ 15  มิถุนายน พ.ศ.2541 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงเสด็จไปทำพิธีเปิดเขื่อน ฯ ในวันที่  25  พฤศจิกายน พ.ศ.2542   


 
pasak3 pasak4 pasak1
 
 
 

 

   
แผนที่แสดงพื้นที่ชลประทานจำนวน 4 โครงการเพื่อใช้ประโยชน์ในการสนับสนุน
การขาดแคลนน้ำให้กับเกษตรกร พื้นที่รวม 174,500 ไร่

 

 
             นอกจากนั้นเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้นำระบบโทรมาตร มาใช้ในการคำนวณ พยากรณ์และคาดการณ์สถานการณ์น้ำในบริเวณลุ่มน้ำป่าสัก ตลอดจนการเก็บข้อมูล  สถิติน้ำฝน น้ำท่า อย่างต่อเนื่องเป็นระบบ  ทำให้สามารถควบคุมปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสัก ส่งผลให้ลดผลกระทบที่มีต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วยป้องกันและบรรเทาสภาวะอุทกภัยได้ โดยเฉพาะในปี 2550 ในช่วงวันที่ 22-30 ตุลาคม ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณสูงมาก จึงลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์โดยยอมให้มีการเก็บน้ำสูงกว่า 960 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอบางไทรอยู่ในระดับที่ไม่เกินระดับตลิ่ง
                         
         ทั้งนี้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในด้านการบริหารจัดการน้ำ การดูแลบำรุงรักษา และการจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าในการสูบน้ำ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 81 กลุ่ม แบ่งเป็น
  • โครงการสูบน้ำพัฒนานิคมและโครงการสูบน้ำพัฒนานิคม – แก่งคอย มีกลุ่มพื้นฐาน 56 กลุ่ม กลุ่มบริหาร 5 กลุ่ม รวม 61 กลุ่ม
  • โครงการสูบน้ำ แก่งคอย-บ้านหมอ มีกลุ่มพื้นฐาน 16 กลุ่ม กลุ่มบริหาร 4 กลุ่ม รวม 20 กลุ่ม
 
           
       โครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้านการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย  เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคน้ำเพื่อการเกษตร โดยสามารถส่งน้ำช่วยพื้นที่การเกษตรฤดูฝน  2,200,00 ไร่  พร้อมทั้งสามารถส่งน้ำพื้นที่ชลประทานเปิดใหม่อีก 174,500 ไร่   เพิ่มผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยได้ถึง 80- 90 ถัง/ไร่ และช่วยการขาดแลนน้ำ  รวมถึงการส่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม  ตลอดจนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา  และเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่   เป็นแหล่งพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการประเมินผลเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่สำนักงาน กปร. ได้มอบหมายให้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย  ดำเนินการเมื่อเดือนกันยายน  2548  พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางระบบนิเวศของน้ำ  กล่าวคือหลังจากการสร้างเขื่อนก่อให้เกิดชนิดของแพลงตอนเพิ่มขึ้น จากเดิม 15 ชนิด เป็น 51 ชนิด พบชนิดพันธุ์ปลามากขึ้นกว่าเดิมถึง 100 ชนิด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนมีรายได้สุทธิจากการประกอบอาชีพในภาคเกษตร และนอกภาคเกษตร  เช่น  การทำประมง  การแปรรูป  การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 22,465  บาท/ครัวเรือน/ปี   เป็น 44,504 บาท/ครัวเรือน/ปี
 
 
 

  • ประเภทโครงการ : โครงการพัฒนาด้านแหล่งน้ำ

curve