รายละเอียดองค์ความรู้
องค์ความรู้
สรุปพระราชดำรัส รัชกาลที่ ๙
เกี่ยวกับโครงการพัฒนาต่าง ๆ
๔ ธันวาคม ๒๕๓๕
พระราชดำรัส รัชกาลที่ ๙ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
โครงการพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์
“...คราวนี้ก็จะขอเล่าเรื่องว่าทำอะไรบ้าง ขอเล่านิทาน ก็ไม่ใช่นิทาน เป็นเรื่องที่ได้ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันนี้. ไปอยู่ที่ภาคอิสานประมาณสองสามอาทิตย์ และได้ไปเยี่ยมที่แห่งหนึ่งคือ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ไปดูเขาทำงาน ก็รู้สึกว่า มีความก้าวหน้ามาจากที่เคยเห็น เขาวง มาเมื่อสิบปีก่อน. เมื่อสิบปีก่อนนี้ รู้สึกแร้นแค้นอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่แร้นแค้น แต่คนก็มีความขยันหมั่นเพียร
มีความตื่นตัวมากเห็นเขาทำงานทำการดีขึ้น และก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะยิ้มแย้มแจ่มใส. เขาได้มาทำพิธีบายศรีให้อย่างร่าเริง ก็รู้สึกว่าน่าชื่นชมและน่ายินดี. เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็อยากจะไปดู
ที่แห่งหนึ่งที่น่าจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้. จึงไปดูแห่งหนึ่ง ที่ได้เห็นจากเฮลิคอปเตอร์เพราะว่าวันนั้นไปเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ จากสกลนครไปถึงอำเภอเขาวง.
การไปเฮลิคอปเตอร์นี้ มีความสุขความสบายขึ้น เพราะว่าถ้าไปรถยนต์ จะใช้เวลาถึงชั่วโมงครึ่ง หรือสองชั่วโมง แต่ไปเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ จะใช้เวลาเพียงยี่สิบห้านาที เป็นการทุ่นเวลา
ทุ่นกำลัง. การไปเฮลิคอปเตอร์ทุกครั้ง ก็นึกถึงว่าจะต้องสิ้นเปลืองแต่ถ้าใช้เฮลิคอปเตอร์นั้นในทางที่เกิดประโยชน์มากที่สุด ก็จะคุ้มค่า. ฉะนั้นก็ต้องพยายามดู สำรวจที่ทาง และพอดีก็ผ่านที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะสมในการเก็บกักน้ำ โดยที่จะไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนแต่ประการใด เพราะจะไม่ท่วมที่ทำมาหากินของเขาเลย จึงเห็นว่าที่ตรงนั้นเหมาะสม. ได้เห็นจากเฮลิคอปเตอร์ก็จดเอาไว้อยู่ตรงไหน.
ลงมาถึงพื้นแล้ว ก็ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ ว่าจะไป ณ ที่ตรงนั้น ๆ. ถึงเวลาก็แล่นรถไป เข้าไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ใกล้สถานที่นั้น. ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจทั้งช่างชลประทาน ไม่แน่ใจว่าจะมีทางไปถึงที่ตรงนั้น จึงเอาชาวบ้านคนหนึ่งมาเป็นมัคคุเทศก์นำทาง. ผู้ที่นำทางนั้น ก็นำไป แห่งหนึ่ง เป็นทางแยกที่เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา. เขาบอกให้เลี้ยวซ้าย ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเลี้ยวซ้าย แต่เขาก็บอกให้เลี้ยวซ้าย. เลี้ยวซ้ายผ่านโรงเรียน ผ่านโรงเรียนแล้วก็เลี้ยวขวา. เลี้ยวขวานั้น ก็เข้าไปในทางที่เรียกได้ว่าลำลองอย่างมาก ๆ เป็นทางที่เขาเต้น “ดิสโก้” กัน. คือที่เต้น “ดิสโก้” นี่ เพราะว่ารถมันแกว่งไปแกว่งมา เหมือนเต้น “ดิสโก้” ก็เลยเรียกว่า “ทางดิสโก้”. แล่นไปตาม “ทางดิสโก้” นั้นไกลพอสมควร ประมาณสักสองกิโลเมตรก็ไปถึงที่แห่งหนึ่ง. เขาบอกว่าหยุด หยุดตรงนั้น. มืดแล้ว เห็นมีแต่นา. คนที่นำทางก็บอกว่า “นึกว่าอยากจะมาตรงนี้”. เราบอกว่า “ไม่ใช่ อยากจะมาดูตรงที่เป็นทางน้ำ ที่เหมาะสมกับการทำโครงการ รูปร่างคล้าย ๆ เป็นแก่ง”. เป็นอันกลับ กลับมา “ดิสโก้” อีกสองกิโลเมตร แล้วมาที่หมู่บ้าน. แล่นตรงไป แล้วเดินอีกสองร้อยเมตรก็ไปถึงที่ถูกต้อง และช่างชลประทานเขาก็เห็นว่า เหมาะสมสำหรับทำโครงการ.
แล้วมาถามชาวบ้านที่อยู่ที่นั่น ว่าเป็นอย่างไรปีนี้. เขาบอกว่าเก็บข้าวได้แล้วข้าวก็อยู่ตรงนั้น กองไว้. เราก็ไปดูข้าว ข้าวนั้นมีรวงจริงแต่ไม่มีเม็ด หรือรวงหนึ่งมีสักสองสามเม็ด. ก็หมายความว่าไร่หนึ่ง คงได้ประมาณสักถังเดียว หรือไม่ถึงถังต่อไร่. ถามเขาทำไมเป็นเช่นนี้. เขาก็บอกว่าเพราะไม่มีฝน เขาปลูกกล้าไว้ แล้วเมื่อขึ้นมาก็ปักดำ. ปักดำไม่ได้เพราะว่าไม่มีน้ำ ก็ปักในทราย ทำรูในทรายแล้วปักลงไป. เมื่อปักแล้วตอนกลางวันก็เฉา มันงอลงไป แต่ตอนกลางคืนก็ตั้งตัว ตั้งตรงขึ้นมาเพราะมีน้ำค้าง แล้วในที่สุดก็ได้รวงแต่ไม่มีข้าวเท่าไร. อันนี้เป็นบทเรียนที่ดี เขาก็เล่าให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา. แสดงให้เห็นว่าข้าวนี้เป็นพืชที่แข็งแกร่งมาก ขอให้ได้มีน้ำค้างก็พอ. แม้จะเป็นข้าวธรรมดาไม่ใช่ข้าวไร่. ถ้าหากว่าเราช่วยเขาเล็กน้อยก็สามารถที่จะได้ข้าวมากขึ้นหน่อย พอที่จะกิน. ฉะนั้นโครงการที่จะทำ มิใช่จะต้องทำโครงการใหญ่โตมากนัก จะได้ผล ทำเล็ก ๆ ก็ได้. จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าในที่อย่างเช่นนั้น ฝนก็ดีพอสมควร แต่ลงมาไม่ถูกระยะเวลา เมื่อลงมาไม่ถูกระยะเวลา ฝนก็ทิ้งช่วง ข้าวก็ไม่ดี.
วิธีแก้ไขคือต้องเก็บน้ำฝนที่ลงมา. ก็เกิดความคิดว่าอยากทดลองดู สักสิบไร่ในที่อย่างนั้น. สามไร่จะทำเป็นบ่อน้ำ คือเก็บน้ำฝนแล้วถ้าจะต้องใช้บุด้วยพลาสติคก็บุด้วยพลาสติค ทดลองดู. แล้วอีกหกไร่ทำเป็นที่นา ส่วนไร่ที่เหลือนั้น ก็เป็นที่บริการหมายถึงทางเดินหรือเป็นกระต็อบ หรืออะไรก็แล้วแต่. หมายความว่า น้ำสามสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ทำนา หกสิบเปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่าถ้าเก็บน้ำไว้ได้ จากเดิมที่เก็บเกี่ยวข้าวได้ไร่ละหนึ่งถังถึงสองถัง ถ้ามีน้ำเล็กน้อยอย่างนั้น ก็ควรจะเก็บเกี่ยวข้าวได้ไร่ละประมาณสิบถึงยี่สิบถัง หรือมากกว่าอาจจะถึง สามสิบก็ได้. สมมุติว่า สิบเท่าก็ยี่สิบถัง หมายความว่า ที่หกไร่ปัจจุบัน ที่ได้ไร่ละหนึ่งถัง ก็จะได้ ยี่สิบถัง ยี่สิบเท่าหรือถ้านับเอาง่าย ๆ
ว่าสิบเท่า ที่หกไร่จะเท่ากับ หกสิบไร่. ทั้งหมดสิบไร่ เท่ากับได้ผลเท่ากับหกสิบไร่ของเขาปัจจุบัน จึงควรจะใช้ได้. ก็พยายามที่จะวางแผนนี้.
วันรุ่งขึ้นได้ข่าวมาว่าที่ตรงนั้น ที่เรา “ดิสโก้” ไป มีชาวบ้านสองคน เขาบอกว่า เขาขอบริจาค ที่ดินคนละห้าไร่ เพื่อที่จะทำโครงการตามอัธยาศัย. อันนี้ไม่ต้องไปซื้อเขา ไม่ต้องไปเวนคืนเขา.
เขาเข้าใจว่าพยายามที่จะช่วยเหลือ แม้จะรู้ว่าโครงการที่จะช่วยเหลือนี้เป็นโครงการทดลอง มิใช่เป็นโครงการที่พิสูจน์มาแล้ว เขาก็ให้. แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านมีความเข้าใจในการพัฒนา ชาวบ้านจริง ๆ ไม่ใช่ชาวบ้านกรุงเทพฯ ที่ปลอมตัวไปเป็นชาวบ้านต่างจังหวัด. คนหนึ่งมีสิบไร่ เขาแบ่งให้ ห้าไร่. อีกคนมีเก้าไร่เขาแบ่งให้ ห้าไร่. จึงจะทำโครงการนี้ได้. ถ้าทำโครงการนี้สำเร็จ ก็หมายความที่ต่าง ๆ ในอำเภอเขาวงที่แห้งแล้งจริง ๆ หรือที่อื่นก็ตาม จะทำได้ทั้งนั้น. ปีหน้าก็คงได้ทราบผลของการทดลองนี้.
ที่เล่าให้ฟังดังนี้ อย่างยืดยาว ก็เพื่อให้เห็นว่าชาวบ้านปัจจุบันนี้เป็นคนที่รู้จักการสละที่เพื่อพัฒนาท้องที่ของตัว. แล้วเขาก็ไม่ได้มีข้อแม้อะไร ไม่ได้บอกว่าถ้าทำสำเร็จแล้ว จะขออย่างนั้นอย่างนี้ เขาไม่ได้บอกเลย เขาบอก ขอให้ตามอัธยาศัย. แสดงให้เห็นว่าคนที่ถือว่าเป็นคน ที่เรียกกันว่าเป็นคนบ้านนอก เขารู้ว่าพัฒนาประเทศทำอย่างไร. โดยมากคำว่าบ้านนอกนี่ก็พูดอย่างไม่ค่อยดีนัก
แต่ว่าคนที่เป็นชาวบ้านจริง ๆ. เขารู้ว่าจะต้องทดลอง ต้องใช้ความคิด แล้วมีการทดลอง เสียก็เสียไป แต่ว่าน่าจะได้. ฉะนั้นเมืองไทยนี้มีความหวังที่จะพัฒนาให้อยู่ได้ แต่ว่าจะต้องใช้ คำว่าเสียสละ
ก็อาจจะเบื่อคำว่าเสียสละ. ต้องรู้จักคำว่าสามัคคี ก็อาจจะเบื่อคำว่าสามัคคี. อะไร ๆ ก็ให้สามัคคีกัน ให้อะไรกัน ให้เมตตากัน. คำเก่า ๆ เหล่านี้ยังมีผลดีแต่ว่าคนเราสมัยนี้อาจจะลืม เพราะว่ามันเปลี่ยนแปลง สถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไป. ที่ตะกี้พูดว่าจะเล่าเรื่อง ก็เล่าเรื่อง ไม่ใช่นิทานเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันนี้. แต่ว่าท่านคงเข้าใจว่าทำไมเล่าให้ฟัง เพื่อที่จะให้ท่านทั้งหลายมีหวังว่าพัฒนาได้ ไม่ใช่ไม่มีหวัง แต่ว่าจะต้องคิดให้ดี ๆ ...”
อ้างอิง
สำนักราชเลขาธิการ. ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท.
กลุ่มนโยบายพิเศษ
๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖